Luke Skywalker ตอนฝึกกับอาจารย์ Yoda

SB7: ถ้าการตลาดที่เป็นอยู่มันน่าเบื่อ ใช้พล็อตหนังเล่าแทนก็สิ้นเรื่อง

คุณเคยดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วอินแบบหยุดคิดถึงไม่ได้ไหมครับ? บางเรื่องไม่ได้มีเอฟเฟกต์อลังการหรือดาราชื่อดัง แต่กลับทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครทันที เพราะเนื้อเรื่องมันเล่าอย่างเรียบง่าย กระชับ และเข้าใจหัวใจคนดูได้อยู่หมัด

ถ้าเราเอาโมเดลเดียวกันนี้มาใช้กับแบรนด์ล่ะ? ลองนึกภาพว่าแบรนด์ของคุณไม่ได้แค่ขายของ แต่กำลังเล่าเรื่องบางอย่างอยู่ แล้วถ้าเล่าได้ดี คนก็จะหยุดฟัง สนใจ และอยากแชร์ต่อ
 
หนึ่งในโมเดลที่ช่วยให้การเล่าเรื่องของแบรนด์ทรงพลังขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็คือ “StoryBrand 7 Framework” หรือ SB7 ที่คิดค้นโดย Donald Miller เจ้าของหนังสือระดับเบสต์เซลเลอร์ “Building a StoryBrand” ซึ่งบอกเลยว่าอ่านแล้วเปิดโลกมาก โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่อยากให้แบรนด์น่าสนใจจนคนอยากติดตาม
Katniss ที่อาสาแทนน้องสาว เป็นตัวเอกใน The Hunger Games
Katniss ที่อาสาแทนน้องสาว เป็นตัวเอกใน The Hunger Games

ลูกค้าคือพระเอก ไม่ใช่แบรนด์

สิ่งที่ StoryBrand ทำได้ดีมากคือการเปลี่ยนมุมมองจาก “ฉันจะขายอะไรให้ลูกค้า” มาเป็น “ฉันจะช่วยให้ลูกค้าชนะได้ยังไง” ซึ่งฟังดูง่าย แต่เปลี่ยนมุมคิดได้เลย แบรนด์ส่วนใหญ่มักจะอยากเล่าถึงตัวเอง เช่น เราเริ่มจากศูนย์ เราใช้วัตถุดิบคุณภาพ เราเก่งยังไงบ้าง แต่ลูกค้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอกครับ เขาสนใจว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?
 
StoryBrand แนะนำให้เรามองว่าลูกค้าคือพระเอกของเรื่อง เขากำลังเจอกับปัญหาบางอย่าง และกำลังมองหา “ไกด์” ที่จะพาเขาไปสู่จุดที่อยากเป็น และแบรนด์ของเราก็คือไกด์คนนั้น ไม่ใช่พระเอก อย่าขโมยซีน อย่าทำตัวเด่นกว่าเขา เพราะสุดท้ายแล้วลูกค้าจะเลือกแบรนด์ที่ “เข้าใจเขา” ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ “โชว์ว่าเก่ง”

ทุกเรื่องดีๆ ต้องมีปัญหา

เรื่องเล่าจะน่าสนใจได้ ต้องมีปัญหาให้คนลุ้น และใน SB7 ก็แบ่งปัญหาไว้ถึง 3 ระดับ ซึ่งถ้าเราเข้าใจครบ ก็จะสามารถสื่อสารให้ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้นแบบชัดๆ เลย
1. ปัญหาภายนอก — สิ่งที่ลูกค้าเผชิญในชีวิตจริง เช่น ผิวแพ้ง่าย หน้าหมองคล้ำ เงินไม่พอใช้ อ่านหนังสือไม่จบซักที
2. ปัญหาภายใน — ความรู้สึกข้างในที่ตามมา เช่น ไม่มั่นใจ ท้อแท้ อาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าเริ่ม
3. ปัญหาทางปรัชญา — แนวคิดใหญ่กว่านั้น เช่น “ทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะมั่นใจในตัวเอง” หรือ “การพัฒนาตัวเองไม่ควรเป็นเรื่องเฉพาะของคนเก่งเท่านั้น”
 
ยิ่งเราแตะให้ครบทั้ง 3 ชั้นนี้ ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์นี้เข้าใจเราจริงๆ มันไม่ใช่แค่ขายของ แต่มันพูดแทนใจเราได้

แบรนด์ไม่ใช่ฮีโร่ แต่เป็นไกด์

Luke Skywalker ตอนฝึกกับอาจารย์ Yoda
Luke Skywalker ตอนฝึกกับอาจารย์ Yoda
ทุกเรื่องราวที่ดีมักจะมี “ผู้นำทาง” ที่ช่วยให้พระเอกเดินหน้าต่อไปได้ แบบที่ Gandalf ช่วย Frodo หรือ Yoda ช่วย Luke แบรนด์ก็เหมือนกันครับ หน้าที่เราคือ “เข้าใจ” และ “ช่วยให้เขาไปถึงเป้าหมาย” ไม่ใช่โชว์ว่าตัวเองเก่งยังไง
 
ลองบอกให้ชัดว่าเราเข้าใจปัญหาของเขายังไง เราเคยผ่านจุดนั้นมายังไง และตอนนี้เรามีวิธีหรือเครื่องมืออะไรที่จะช่วยให้เขาไม่ต้องเจ็บซ้ำแบบที่เราเคยเจอ ซึ่งสองคำสำคัญที่ควรเน้นคือ ความเข้าใจ (Empathy) และ ความน่าเชื่อถือ (Authority) ถ้าลูกค้าเชื่อว่าเราฟังเขาเป็น เขาจะฟังเรากลับ

ให้แผนที่ชัดเจน ง่าย และเริ่มได้เลย

Back to the Future Marty ต้องกลับไปช่วยพ่อกับแม่ให้รักกัน
Back to the Future Marty ต้องกลับไปช่วยพ่อกับแม่ให้รักกัน
เวลาคนเจอแบรนด์ใหม่ๆ เขาจะลังเลครับ เพราะไม่รู้ว่าควรเริ่มตรงไหน จะซื้อตรงไหนดี หรือของมันใช้ยังไง เราต้องช่วยเขาเห็น “ทางเดิน” ให้ชัดเจนที่สุด เช่น 1. เลือกสูตรที่ใช่ 2. ทดลองใช้งาน 3. ดูผลลัพธ์ภายใน 7 วัน ง่ายแค่นี้ก็รู้สึกว่าพร้อมเริ่มแล้ว

ชวนให้ลงมือทำ

William Wallace ปลุกระดมทหารก่อนสู้ ใน Braveheart
William Wallace ปลุกระดมทหารก่อนสู้ ใน Braveheart
หลายแบรนด์กลัวขายของ กลัวว่าจะดูยัดเยียดหรือไม่เก๋พอ ทั้งที่จริงแล้วลูกค้าแค่รอให้เราบอกว่า “ต่อไปต้องทำยังไง” StoryBrand เรียกจุดนี้ว่า Call to Action ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ
– แบบตรงไปตรงมา (Direct CTA) เช่น สั่งซื้อเลย สมัครวันนี้ นัดคิวทันที
– แบบค่อยๆ เข้าหา (Transitional CTA) เช่น ดาวน์โหลดคู่มือฟรี ดูรีวิวเพิ่มเติม ทดลองใช้งาน
 
ถ้าไม่มี CTA ก็เหมือนฉากจบที่ไม่มีบทสรุป ลูกค้าจะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ และโอกาสขายก็จะหายไปเฉยๆ เลยครับ

เตือนว่าถ้าไม่เริ่มตอนนี้จะพลาดอะไรไป

แรงผลักที่คนส่วนใหญ่มองข้ามคือ “ความกลัว” เรากลัวพลาดโอกาส กลัวตัดสินใจผิด หรือกลัวเสียเวลา แบรนด์ที่เก่งจะพูดถึงสิ่งที่ลูกค้าอาจเสียไปแบบมีชั้นเชิง เช่น “อย่าปล่อยให้ปีนี้ผ่านไป โดยที่คุณยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร” หรือ “คนส่วนใหญ่ไม่มีแผนเกษียณ จนต้องทำงานไปทั้งชีวิต”

วาดภาพตอนจบให้ดีที่สุด

The Pursuit of Happyness การที่ Chris ได้งาน
The Pursuit of Happyness การที่ Chris ได้งาน
ทุกเรื่องราวจะสมบูรณ์ได้ ต้องมีตอนจบที่น่าประทับใจ ลูกค้าเองก็เช่นกัน เขาอยากเห็นภาพว่า ถ้าเลือกแบรนด์ของคุณแล้ว ชีวิตเขาจะดีขึ้นยังไง บอกให้ชัดเลยว่า ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นผิวดีขึ้น ยิ้มมั่นใจขึ้น ทำงานมีพลังมากขึ้น หรือมีเวลาดูแลครอบครัวมากขึ้น ภาพตอนจบที่ชัด จะเป็นแรงกระตุ้นให้คนกล้าก้าวข้ามความลังเลใจ
 
ลูกค้าคือพระเอกของเรื่อง และแบรนด์ของคุณคือ “ไกด์” ที่พาเขาไปถึงตอนจบ ถ้าเล่าเรื่องตาม SB7 ได้ครบ 7 ข้อ ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์นี้เข้าใจฉัน และฉันอยากฟังต่อ

ชื่อเรื่อง: Building A StoryBrand แบรนด์ไหนจะปัง วัดที่พลังการสื่อสาร
ผู้เขียน: Donald Miller
สำนักพิมพ์: Live Rich
ประเภท: ธุรกิจ
จำนวนหน้า: 288 หน้า

ลูกค้าคือพระเอกของเรื่อง และแบรนด์ของคุณคือ “ไกด์” ที่พาเขาไปถึงตอนจบ
- Read Again and Agian
Facebook
X (Twitter)
Copy Link

RELATED POSTS